วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

นักเตะในตำนาน ตอน3


ในปี 1976 เค้าเป็นคนยิงประตูชัยให้สก็อตแลนด์ชนะอังกฤษ ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค โดยเค้ายิงลูกรอดขาเรย์ คลีเมนต์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดของอังกฤษในยุคนั้น
ดัลกลิชลงเล่นให้เซลติกไป 269 เกม และทำได้ 167 ประตู เฉลี่ยจะทำประตูได้ทุกๆ 1.6 เกม
ในวันที่ 10 สิงหาคม 1977 ดัลกลิชย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในยุคของบ็อบ เพสลีย์ด้วยค่าตัว 440,000 ปอนด์ โดยย้ายมาทดแทนการขาดหายไปของเควิน คีแกนซึ่งย้ายไปเล่นให้ทีมฮัมบรูกส์ในเยอรมัน
ที่ลิเวอร์พูลดัลกลิชก้าวเข้ามาแทนที่คีแกนได้อย่างไม่มีที่ติ แม้ตอนแรกเค้าจะเป็นกังวลอยู่บ้างที่จะต้องเป็นคนสวมใส่เสื้อหมายเลข 7 ซึ่งคีแกนเคยใส่ก่อนหน้านี้ โดยเค้าลงเล่นให้ลิเวอร์พูลครั้งแรกในรายการแชร์ริตี้ ชิลด์ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 1977 ซึ่งเป็นการพบกับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งท้ายที่สุดทั้งสองทีมได้ครองแชมป์รายการนี้ร่วมกัน, ดัลกลิชทำประตูแรกให้ลิเวอร์พูลได้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1977 ซึ่งลิเวอร์พูลออกไปเยืนมิดเดิลสโบรช โดยดัลกลิชทำประตูได้ในนาทีที่ 7 ก่อนที่จบเกมเสมอกัน 1-1, ก่อนที่อีก 3 วันเค้าจะได้ลงเล่นในสนามแอนฟิลด์เป็นครั้งแรก ในวันที่ 23 สิงหาคม 1977 โดยพบกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดซึ่งในครึ่งแรกทั้งสองทีมเสมอกันที่ 0-0 ก่อนที่เริ่มครึ่งหลังได้เพียงนาทีเดียวดัลกลิชจะทำประตูให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำโดยเกมนั้นลิเวอร์พูลชนะไป 2-0

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

นักเตะในตำนาน ตอน2

เคนนี่ ดัลกริช
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทีมเซลติกถือว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของสก็อตแลนด์ และยังเป็นทีมฟุตบอลทีมแรกบนเกาะอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพมาครองได้อีกด้วยหลังจากเอาชนะอินเตอร์ มิลานที่สนามเอสตาริโอ เนชั่นแนล ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ในปี 1966/67 โดยดัลกลิชได้เข้ามาร่วมทีมหลังจากนั้น 3 ปี, โดยดัลกลิชทำสถิติยิงประตูมากที่สุดในเกมเดียวในเกมที่เซลติกชนะคิลมาร์น็อคไป 7-2 ซึ่งดัลกลิชทำประตูได้ถึง 6 ประตู
ในฤดูกาล 1971/72 ดัลกลิชเป็นคนทำประตูแรกในชัยชนะเหนือทีมเรนเยอร์ส 2-0 ที่สนามไอบร็อกซ์ ในรายการสก็อตติช ลีก คัพ โดยในฤดูกาลนั้นเค้าลงสนามไป 49 เกม
ในฤดูกาล 1972/73 ดัลกลิชสามารถทำได้ถึง 41 ประตู และเค้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมเซลติกในฤดูกาล 1975/76 แต่ก็เป็นปีที่ไม่ดีสำหรับเค้าเมื่อสตีนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ดัลกลิชติดทีมชาติเป็นเวลาถึง 6 ปีในช่วงที่เล่นให้เซลติก โดยเกมแรกในทีมชาติเค้าเป็นตัวสำรองโดยลงไปแทนทอมมี โดเฮอร์ตีในเกมที่ชนะเบลเยี่ยม 1-0 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 72 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 1971, ดัลกลิชทำประตูแรกในการลงเล่นให้ทีมชาติได้เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 1972 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกกับเดนมาร์ก ซึ่งสก็อตแลนด์ชนะไป 2-0 ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค ซึ่งท้ายที่สุดสก็อตแลนด์สามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 1974 ที่เยอรมันตะวันตกได้สำเร็จ แม้ท้ายที่สุดสก็อตแลนด์จะตกรอบแรกก็ตาม

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

นักเตะในตำนาน


เคนนี่ดัลกลิช

เกิดวันที่4มีนาคม1951

ที่เมืองกลาสโกว์ประเทศสก็อตแลนด์

สูง178ซ.ม

ปี1967-1977อยู่สโมสรกลาสโกว์เซลติกลงเล่นไป204นัดยิงไป112ประตู

ปี1977-1990อยู่กับลิเวอร์พูลลงเล่น515นัดยิงไป172ประตู

ติดทีมชาติสก็อตแลนด์112นัดยิงไป30ประตู

ในสมัยเริ่มต้นเล่นฟุตบอลดัลกลิชหวังที่จะเริ่มต้นเล่นให้กับทีมเรนเจอร์ส เนื่องจากเค้าเกิดย่านดัลมาร์น็อคซึ่งเป็นฝั่งตะวันออกของเมือง กลาสโกว์ซึ่งเป็นแถบที่ตั้งของทีมเรนเจอร์ส และเค้าเคยไปทดสอบฝีเท้ากับทีมเรนเจอร์สแต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา ก่อนที่จะเดินทางไปทดสอบฝีเท้ากับเวสต์แฮม ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลแต่ก็ไม่ผ่านการทดสอบเหมือนเดิม และก็เป็นทีมเซลติกที่เห็นแววของเค้าและจับเค้ามาฝึกฝีเท้าจนเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดของสก็อตแลนด์

เซ็นต์สัญญากับทีมเซลติกเมื่อพฤษภาคม 1967 ในยุคของแจ็ค สตีนซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานผู้จัดการทีมของเซลติก โดยในเซลติกเค้ามีเพื่อนสนิทคือฌอน ฟาลเลน แต่การลงสนามครั้งแรกของดัลกลิชไม่ใช่กับเซลติกแต่เป็นกับทีมคัมเบอร์นัลด์ ยูไนเต็ดซึ่งดัลกลิชถูกยืมตัวมาใช้งาน โดยเค้ายิงได้ถึง 37 ประตูในฤดูกาล 1967/68

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทีมปัจจุบัน

รายชื่อทีม
Liverpool 2009 - 2010
1. Diego Cavalieri 2. Glen Johnson
4. Alberto Aquilani 5. Daniel Agger
8. Steven Gerrard 9. Fernando Torres
10. Andriy Voronin 11. Albert Riera
12. Fabio Aurelio 15. Yossi Benayoun
18. Dirk Kuyt 19. Ryan Babel
20. Javier Mascherano 21. Lucas Levia
22. Emiliano Insua 23. Jamie Carragher
24. David N'Gog 25. Pepe Reina
26. Jay Spearing 27. Phillip Degen
28. Damien Plessis 29. Krisztian Nemeth
30. Charles Itandje 31. Nabil El Zhar
32. Stephen Darby 34. Martin Kelly
35. Ryan Flynn 36. Steven Irwin
37. Martin Skrtel 38. Andrea Dossena
39. Nathan Ecclestone 40. David Martin
41. Peter Gulcasi 42. Martin Hansen
50. Daniel Pacheco 51. Daniel Sanchez Ayala
52. Mikel San Jose
นักเตะที่น่าจับตามองในฤดูกาลนี้ก็มี
เฟร์นานโด ตอร์เรส นักเตะที่ว่ากันว่าเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดหลังหมดยุคของร๊อบบี้ฟาวเลอร์ และไมเคิ่ลโอเว่น
เดิร์ก เค้าท์ นักเตะที่ขยันและทุ่มเทกับทุกเกมส์
สตีเว่น เจอร์ราร์ด นักฟุตบอลพันธุ์แกร่งที่มุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับลิเวอร์พูล

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

จอห์น บาร์น ตอน3


ตำแหน่งในทีมของเขา จำต้องถูกเปลี่ยนไป หลังจากที่มีอาการบาดเจ็บ รุมเร้าที่ขาของเขา และมันก็ส่งผล ต่อปีกผู้เชิงสูงผู้นี้ ที่สามารถทะลวงแผงหลังของคู่ต่อสู้ได้ราวกับมีดร้อนๆที่ผ่าเข้าไปที่ก้อนเนย เมื่อเขาหายเจ็บกลับมา เขาต้องมาเรียนรู้ และพร้อมที่จะรับตำแหน่งในการตรึงแผงมิดฟิลด์ของลิเวอร์พูล ด้วยการเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวกลาง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลย ด้วยมันสมองเข้าขั้นอัจฉริยะด้านเกมฟุตบอลของเขา ทำให้เขาเล่นได้อย่างสบายๆ ด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นต้องมากนัก การผ่านบอลอันเฉียบคมนั้น กลายเป็นกุญแจสำคัญของทีม และเขาก็ยังคงยากที่จำทำให้แฟนๆผิดหวังอีกเช่นเคย แต่มันช่างน่าเสียดาย ที่วันอันน่าอัศจรรย์ที่แอนฟิลด์ของเขา ได้ผ่านไป เขาเริ่มโรยรา และผ่านจุดสุดยอดไปแล้ว แฟนๆบางคนเริ่มที่จะเรียกร้องให้ดร็อปเขาจากทีม และก็เป็นความพ่ายแพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศนั่นเอง ที่เป็นจุดจบของตำนานที่แฟนๆไม่เคยลืมอย่างเขา สุดท้าย จอห์นบาร์นส์ก็จบตำนานโดยการจากแอนฟิลด์ไปในที่สุด หลังจากที่ใช้เวลาได้10ปีในการอยู่กับลิเวอร์พูล เกียรติของเขา ถูกยกย่องขึ้นไปเทียบเคียงอย่างที่ทุกๆคน ยกให้หมายเลข7 ตลอดกาลนั้น ตกเป็นของเคนนี่ ดัลกลิช และแน่นอนว่า หมายเลข10 ที่จะตรึงใจแฟนๆไปตลอดกาล ย่อมต้องเป็นของ "จอห์น บาร์นส์" ในสนามนั้น จอห์น บาร์นส์ ช่วยเปลี่ยนรูปโฉมเอกลักษณ์ของลิเวอร์พูล ให้กลายเป็นทีมที่เล่นด้วยความตื่นตาตื่นใจ และความสามารถของเขา ก็จะยังยืนหยัดอยู่กับลิเวอร์พูลตลอดไป เหนือสิ่งอื่นใดนั้น เขาคนนี้นี่แหละ ที่ช่วยขจัดการเหยียดสีผิวออกไปจากแอนฟิลด์ได้ และก็ยังคงเป็นตำนานตราบจนทุกวันนี้ แต่น่าเสียดาย ที่เมื่อเขาย้ายออกไป เรายังไม่สามารถหาผู้เล่นทางกราบซ้ายในแผงมิดฟิลด์ ที่จะสามารถเทียบเคียงกับเขาได้เลย

จอห์น บาร์น ตอน2


ในสไตล์ที่แท้จริงของบาร์นส์นั้น เมื่อเขาลงสู่สนาม เขาจะไม่สนใจกับสิ่งใดๆรอบตัว แต่ก็เริ่มการบรรเลงเวทย์มนต์ใส่ลูกฟุตบอลที่เท้า ด้วยการเล่นฟุตบอลเหมือนสั่งได้ดั่งใจ เขาโชว์ทักษะในการผ่านคู่ต่อสู้แบบชาวแซมบ้าของแท้ ด้วยเทคนิคแบบชาวอเมริกาใต้ ซึ่งทำให้แฟนบอลถึงกับ 'กลั้นหายใจ' แต่มันก็ทำให้กองหลังฝั่งตรงข้าม ถึงกับอยาก 'กลั้นใจตาย' ด้วยเช่นกัน และเท้าซ้ายอันสุดยอดของเขา นั่นก็ทำให้ตอนนั้น ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่หลายๆทีมคงต้องผวาเมื่อต้องเจอ เมื่อเขาเป็นผู้ดึงลิเวอร์พูล ไปสู่สถิติในการที่ไร้พ่ายติดต่อกันถึง 29นัด ในลีก และแน่นอน ปีนั้น ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์สมัยที่17ไปอย่างสบายๆ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย เขา จะเดินออกไปรับรางวัลผู้เล่นแห่งปีในปี87/88 อย่างสมเกียรติ แต่มันก็ช่างน่าเสียดาย ที่ความพ่ายแพ้ต่อวิมเบิลดัน ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ในปีนั้น ดับฝันที่จะได้ดับเบิ้ลแชมป์ ของเขา และเพื่อนร่วมทีมไป อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ฤดูกาลแรกของเขากับลิเวอร์พูล จะเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดก็ตาม แต่จอห์นบาร์นส์ ก็ยังคงรักษาฟอร์มเก่งของเขาในระดับที่สูง ไว้ได้เรื่อยๆ และก็ยังคงเป็นไอดอลของเหล่าเดอะ ค็อป เสมอ ด้วยการนำพาโทรฟี่ให้หลั่งไหลเข้ามาสู่ตู้โชว์ที่แอนฟิลด์ได้เรื่อยๆ ความสำเร็จนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ในปี1989 เหนือเอฟเวอร์ตัน นั้น ถือเป็นสิ่งที่ลบล้างฝันร้ายที่เวมบลีย์เมื่อ12เดือนก่อนนั้นได้อย่างดี แต่ความสำเร็จครั้งนี้ กลับเปรอะเปื้อนไป จากเหตุการณ์อัปยศ ที่ฮิลส์โบโร่ ในรอบเซมิ-ไฟน่อล และมันก็ส่งผลอย่างมาก ต่อจอห์นบาร์นส์ ไม่ต่างไปกับเหล่าผู้เล่นที่อยู่กับทีมมายาวนานคนอื่นๆ แต่มันก็กลายเป็นว่า เขาก็ไม่ได้ถูกเหยียดผิวจากชาวเมืองอีกต่อไป และใช้ชีวิตในเมืองได้ปกติ ฤดูกาลแห่งความสำเร็จอีกฤดูกาลของบาร์นส์ ในการกระชากลมหายใจของแฟนๆ คือปี1989/90 ที่เขาช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ลีกอีกครั้ง โดยเขา คือผู้ทำสกอร์สูงสุด โดยการที่กระซวกไปทั้งหมด22ประตูในลีก และก็ได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นแห่งปีอีกครั้ง แต่สิ่งที่น่าผิดหวังก็คือ เขาไม่สามารถที่จะโชว์ฟอร์มอันสุดยอดอย่างที่เล่นให้กับสโมสรให้กับทีมชาติอังกฤษได้ แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องน่าเสียดายเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ผลจากความยอดเยี่ยมในการโชว์ฟอร์มกับสโมสรทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับต้นๆของยุโรปในทันที ถ้าไม่ใช่ของโลกล่ะก็นะ แต่ว่าในตอนนั้น ช่างน่าเสียดาย ที่การถูกแบนยาวในเกมยุโรปนั้น ทำให้จอห์นบาร์นส์ พลาดโอกาสที่จะโชว์ความสามารถตัวเองในเวทียุโรป ซึ่งมันก็ทำให้เขา ไม่มีโอกาสได้ไขว่คว้าเหรียญรางวัลในระดับทวีป เข้าสู่แอนฟิลด์ด้วยเช่นกัน การพลาดในการไขว่คว้าเกียรติยศในยุโรปนั้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นการขัดขวางถึงความส่องประกายในฐานะสุดยอดนักเตะอย่างที่เขาเป็น แต่ความสามารถในตัวเขาที่มีอยู่ ก็เพียงพอ ที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปสู่หนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลได้ อย่างที่บ็อบ เพสลี่ย์ ได้เคยกล่าวไว้ และเขา ก็สมควรแล้ว ที่จะได้รับการกล่าวขานถึงอย่างสมเกียรติ เหมือนๆกับที่เหล่าตำนานคนอื่นๆในแอนฟิลด์ได้ทำไว้ก่อนเขา ความเป็นตัวอย่างที่ดีของเขา ต้องถือเป็นต้นแบบให้เหล่าวัยรุ่นอีกหลายคนในยุคนั้น นับตั้งแต่ กัปตันทีมของลิเวอร์พูลในกลางยุค90s อย่าง เอียน รัช หรือสุดยอดผู้เล่นอย่าง สตีฟ แม็คมานามาน , เจมี่ เรดแนปป์ และรวมไปถึง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ที่ทุ่มเทในการซ้อม และลงเล่นเคียงข้างกับเขา

จอห์น บาร์น


จอห์น บาร์นส์ เกิด 7 พฤศจิกายน 1963 สถานที่เกิด : คิงสตัน , จาไมก้า อยู่กับลิเวอร์พูล 10ปี ในปี 1987 ถึง 1997 เล่นตำแหน่ง ปีกซ้ายย้ายมาจาก วัตฟอร์ด (มิถุนายน 1987) จำนวนนัดที่ลงเล่นกับลิเวอร์พูล 407 นัด ประตูที่ยิงได้ 110 ประตู เกียรติยศ แชมป์ดิวิชั่น1 (1987/88, 1989/90)
FA Cup (1989), League Cup (1995)
Charity Shield (1988, 1989, 1990)
Football Writers Player of the Year (1988, 1990)PFA Player of the Year (1988) บนจุดสูงสุดในชีวิตนักเตะของเขาในช่วงปลายๆยุค 80s ไม่มีอะไรอีกแล้ว ในโลกฟุตบอล ที่จะดูดีไปกว่า การเห็น จอห์น บาร์นส์ ลงมายืนที่กราบซ้าย โดยสวมเสื้อสีแดงเพลิงอยู่ เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่เล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดตลอดกาล บาร์นส์ ได้หว่านมนต์เสน่ห์ ให้เหล่าแฟนบอลของลิเวอร์พูลหลงไหลกันไปตามๆกัน ด้วยการที่เป็นส่วนสำคัญ ในการสร้างยุคที่เรียกได้ว่า มีสีสันที่สุด ในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล ความน่าเกรงขามของเขา นั้นก็มาจาก ความสุขุมของเขา , ความเร็ว , ความแข็งแกร่ง และความสามารถของเขา และเมื่อชาวจาไมก้าคนนี้ โชว์ฟอร์มได้สุดยอดเต็มที่เมื่อไหร่ นั่นล่ะ ถือเป็นโชคดีของเหล่าคนดูแล้ว ที่จะได้สัมผัสกับพรสวรรค์อันสุดยอดของเขา ที่คุณจะต้องจดจำมันไว้จนวันตายเลยทีเดียว เมื่อมีบาร์นส์อยู่ในทีมแล้ว ในวันที่มีเกมเหย้าที่แอนฟิลด์ เมื่อไหร่ที่เขาได้ครอบครองบอลนั้น สายตาทุกคู่จะจับจ้องลงมาที่เขาทันที ทุกอย่าง ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ซะหมด ยามที่เขากระชากลากเลื้อยบอลมุ่งสู่ปากประตูนั้น เขาทำราวกับว่า เขาจะลงเล่นนัดนี้เป็นนัดสุดท้าย ยังไงยังงั้น เขาคือผู้เล่นฝีเท้าสูงคนแรกในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล ที่มีผิวเป็นสีดำ แล้วความเคลือบแคลงใจอย่างยิ่ง ถึงขีดความสามารถของเขา ก็เกิดขึ้น ก่อนที่จะได้เห็นฝีเท้าของเขาเสียอีก เมื่อการย้ายทีมของเขา จากวัตฟอร์ด ด้วยค่าตัวราว 900,000ปอนด์ ในเดือนมิถุนายน ปี1987 นั้น ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของลิเวอร์พูล ท่ามกลางปัญหาการเหยียดสีผิวที่กำลังคุกคามในขนะนั้นจอห์น บาร์นส์ ก็ได้พบว่า ตัวเองก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายด้วยเช่นกัน ตั้งแต่วันแรกๆที่เขามาอยู่กับลิเวอร์พูล แต่เขาก็สามารถเอาชนะมันได้อย่างรวดเร็ว ด้วยฝีเท้าดังพ่อมด และความสามารถอันน่าทึ่งของเขา ลูกฟรีคิกอันสุดยอดของเขาที่ยิงใส่ออกซ์ฟอร์ดที่แอนฟิลด์ นั่นคือจุดเริ่มของเขา ในการสร้างความทรงจำอันน่ามหัศจรรย์ให้กับแฟนบอล นี่ไม่ใช่แค่เพียงอย่างเดียว กับความมหัศจรรย์ของจอห์นบาร์นส์ ยังมีอีกหลายอย่าง รวมไปถึงการลากเดี่ยวเข้าไปยิง คิวพีอาร์ ได้ ในไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ซึ่งมันก็ทำให้ชื่อเสียงของเขา กระฉ่อนมากเข้าไปอีก แล้วก็เป็นการยืนยันแล้ว ว่า ได้ค้นพบดาวดวงใหม่ของลิเวอร์พูลแล้ว เหล่าข้อความที่ส่อถึงการเหยียดสีผิว และดูถูกบาร์นส์ ตามกำแพงต่างๆทั่วเมืองในช่วง ที่เขาเพิ่งเข้ามานั้น ก็เริ่มลางหายไป และมันก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว ที่จะฉุดรั้งเขา จากการที่จะเป็นที่ยอมรับของแฟนๆ และหัวใจของทีมในการสร้างสรรเกม นี่ยังไม่รวมถึง ลูกโยนบานาน่าสุดมหัศจรรย์ ที่เขาได้ทำในเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่กู้ดดิสัน ปาร์ค ในฤดูกาลนั้นด้วย