วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

นักเตะในตำนาน ตอน3


ในปี 1976 เค้าเป็นคนยิงประตูชัยให้สก็อตแลนด์ชนะอังกฤษ ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค โดยเค้ายิงลูกรอดขาเรย์ คลีเมนต์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดของอังกฤษในยุคนั้น
ดัลกลิชลงเล่นให้เซลติกไป 269 เกม และทำได้ 167 ประตู เฉลี่ยจะทำประตูได้ทุกๆ 1.6 เกม
ในวันที่ 10 สิงหาคม 1977 ดัลกลิชย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในยุคของบ็อบ เพสลีย์ด้วยค่าตัว 440,000 ปอนด์ โดยย้ายมาทดแทนการขาดหายไปของเควิน คีแกนซึ่งย้ายไปเล่นให้ทีมฮัมบรูกส์ในเยอรมัน
ที่ลิเวอร์พูลดัลกลิชก้าวเข้ามาแทนที่คีแกนได้อย่างไม่มีที่ติ แม้ตอนแรกเค้าจะเป็นกังวลอยู่บ้างที่จะต้องเป็นคนสวมใส่เสื้อหมายเลข 7 ซึ่งคีแกนเคยใส่ก่อนหน้านี้ โดยเค้าลงเล่นให้ลิเวอร์พูลครั้งแรกในรายการแชร์ริตี้ ชิลด์ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 1977 ซึ่งเป็นการพบกับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งท้ายที่สุดทั้งสองทีมได้ครองแชมป์รายการนี้ร่วมกัน, ดัลกลิชทำประตูแรกให้ลิเวอร์พูลได้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1977 ซึ่งลิเวอร์พูลออกไปเยืนมิดเดิลสโบรช โดยดัลกลิชทำประตูได้ในนาทีที่ 7 ก่อนที่จบเกมเสมอกัน 1-1, ก่อนที่อีก 3 วันเค้าจะได้ลงเล่นในสนามแอนฟิลด์เป็นครั้งแรก ในวันที่ 23 สิงหาคม 1977 โดยพบกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดซึ่งในครึ่งแรกทั้งสองทีมเสมอกันที่ 0-0 ก่อนที่เริ่มครึ่งหลังได้เพียงนาทีเดียวดัลกลิชจะทำประตูให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำโดยเกมนั้นลิเวอร์พูลชนะไป 2-0

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

นักเตะในตำนาน ตอน2

เคนนี่ ดัลกริช
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทีมเซลติกถือว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของสก็อตแลนด์ และยังเป็นทีมฟุตบอลทีมแรกบนเกาะอังกฤษที่สามารถคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพมาครองได้อีกด้วยหลังจากเอาชนะอินเตอร์ มิลานที่สนามเอสตาริโอ เนชั่นแนล ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ในปี 1966/67 โดยดัลกลิชได้เข้ามาร่วมทีมหลังจากนั้น 3 ปี, โดยดัลกลิชทำสถิติยิงประตูมากที่สุดในเกมเดียวในเกมที่เซลติกชนะคิลมาร์น็อคไป 7-2 ซึ่งดัลกลิชทำประตูได้ถึง 6 ประตู
ในฤดูกาล 1971/72 ดัลกลิชเป็นคนทำประตูแรกในชัยชนะเหนือทีมเรนเยอร์ส 2-0 ที่สนามไอบร็อกซ์ ในรายการสก็อตติช ลีก คัพ โดยในฤดูกาลนั้นเค้าลงสนามไป 49 เกม
ในฤดูกาล 1972/73 ดัลกลิชสามารถทำได้ถึง 41 ประตู และเค้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมเซลติกในฤดูกาล 1975/76 แต่ก็เป็นปีที่ไม่ดีสำหรับเค้าเมื่อสตีนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ดัลกลิชติดทีมชาติเป็นเวลาถึง 6 ปีในช่วงที่เล่นให้เซลติก โดยเกมแรกในทีมชาติเค้าเป็นตัวสำรองโดยลงไปแทนทอมมี โดเฮอร์ตีในเกมที่ชนะเบลเยี่ยม 1-0 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 72 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 1971, ดัลกลิชทำประตูแรกในการลงเล่นให้ทีมชาติได้เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 1972 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกกับเดนมาร์ก ซึ่งสก็อตแลนด์ชนะไป 2-0 ที่สนามแฮมป์เดน ปาร์ค ซึ่งท้ายที่สุดสก็อตแลนด์สามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 1974 ที่เยอรมันตะวันตกได้สำเร็จ แม้ท้ายที่สุดสก็อตแลนด์จะตกรอบแรกก็ตาม

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

นักเตะในตำนาน


เคนนี่ดัลกลิช

เกิดวันที่4มีนาคม1951

ที่เมืองกลาสโกว์ประเทศสก็อตแลนด์

สูง178ซ.ม

ปี1967-1977อยู่สโมสรกลาสโกว์เซลติกลงเล่นไป204นัดยิงไป112ประตู

ปี1977-1990อยู่กับลิเวอร์พูลลงเล่น515นัดยิงไป172ประตู

ติดทีมชาติสก็อตแลนด์112นัดยิงไป30ประตู

ในสมัยเริ่มต้นเล่นฟุตบอลดัลกลิชหวังที่จะเริ่มต้นเล่นให้กับทีมเรนเจอร์ส เนื่องจากเค้าเกิดย่านดัลมาร์น็อคซึ่งเป็นฝั่งตะวันออกของเมือง กลาสโกว์ซึ่งเป็นแถบที่ตั้งของทีมเรนเจอร์ส และเค้าเคยไปทดสอบฝีเท้ากับทีมเรนเจอร์สแต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา ก่อนที่จะเดินทางไปทดสอบฝีเท้ากับเวสต์แฮม ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลแต่ก็ไม่ผ่านการทดสอบเหมือนเดิม และก็เป็นทีมเซลติกที่เห็นแววของเค้าและจับเค้ามาฝึกฝีเท้าจนเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดของสก็อตแลนด์

เซ็นต์สัญญากับทีมเซลติกเมื่อพฤษภาคม 1967 ในยุคของแจ็ค สตีนซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานผู้จัดการทีมของเซลติก โดยในเซลติกเค้ามีเพื่อนสนิทคือฌอน ฟาลเลน แต่การลงสนามครั้งแรกของดัลกลิชไม่ใช่กับเซลติกแต่เป็นกับทีมคัมเบอร์นัลด์ ยูไนเต็ดซึ่งดัลกลิชถูกยืมตัวมาใช้งาน โดยเค้ายิงได้ถึง 37 ประตูในฤดูกาล 1967/68

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทีมปัจจุบัน

รายชื่อทีม
Liverpool 2009 - 2010
1. Diego Cavalieri 2. Glen Johnson
4. Alberto Aquilani 5. Daniel Agger
8. Steven Gerrard 9. Fernando Torres
10. Andriy Voronin 11. Albert Riera
12. Fabio Aurelio 15. Yossi Benayoun
18. Dirk Kuyt 19. Ryan Babel
20. Javier Mascherano 21. Lucas Levia
22. Emiliano Insua 23. Jamie Carragher
24. David N'Gog 25. Pepe Reina
26. Jay Spearing 27. Phillip Degen
28. Damien Plessis 29. Krisztian Nemeth
30. Charles Itandje 31. Nabil El Zhar
32. Stephen Darby 34. Martin Kelly
35. Ryan Flynn 36. Steven Irwin
37. Martin Skrtel 38. Andrea Dossena
39. Nathan Ecclestone 40. David Martin
41. Peter Gulcasi 42. Martin Hansen
50. Daniel Pacheco 51. Daniel Sanchez Ayala
52. Mikel San Jose
นักเตะที่น่าจับตามองในฤดูกาลนี้ก็มี
เฟร์นานโด ตอร์เรส นักเตะที่ว่ากันว่าเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดหลังหมดยุคของร๊อบบี้ฟาวเลอร์ และไมเคิ่ลโอเว่น
เดิร์ก เค้าท์ นักเตะที่ขยันและทุ่มเทกับทุกเกมส์
สตีเว่น เจอร์ราร์ด นักฟุตบอลพันธุ์แกร่งที่มุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับลิเวอร์พูล

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

จอห์น บาร์น ตอน3


ตำแหน่งในทีมของเขา จำต้องถูกเปลี่ยนไป หลังจากที่มีอาการบาดเจ็บ รุมเร้าที่ขาของเขา และมันก็ส่งผล ต่อปีกผู้เชิงสูงผู้นี้ ที่สามารถทะลวงแผงหลังของคู่ต่อสู้ได้ราวกับมีดร้อนๆที่ผ่าเข้าไปที่ก้อนเนย เมื่อเขาหายเจ็บกลับมา เขาต้องมาเรียนรู้ และพร้อมที่จะรับตำแหน่งในการตรึงแผงมิดฟิลด์ของลิเวอร์พูล ด้วยการเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวกลาง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลย ด้วยมันสมองเข้าขั้นอัจฉริยะด้านเกมฟุตบอลของเขา ทำให้เขาเล่นได้อย่างสบายๆ ด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นต้องมากนัก การผ่านบอลอันเฉียบคมนั้น กลายเป็นกุญแจสำคัญของทีม และเขาก็ยังคงยากที่จำทำให้แฟนๆผิดหวังอีกเช่นเคย แต่มันช่างน่าเสียดาย ที่วันอันน่าอัศจรรย์ที่แอนฟิลด์ของเขา ได้ผ่านไป เขาเริ่มโรยรา และผ่านจุดสุดยอดไปแล้ว แฟนๆบางคนเริ่มที่จะเรียกร้องให้ดร็อปเขาจากทีม และก็เป็นความพ่ายแพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศนั่นเอง ที่เป็นจุดจบของตำนานที่แฟนๆไม่เคยลืมอย่างเขา สุดท้าย จอห์นบาร์นส์ก็จบตำนานโดยการจากแอนฟิลด์ไปในที่สุด หลังจากที่ใช้เวลาได้10ปีในการอยู่กับลิเวอร์พูล เกียรติของเขา ถูกยกย่องขึ้นไปเทียบเคียงอย่างที่ทุกๆคน ยกให้หมายเลข7 ตลอดกาลนั้น ตกเป็นของเคนนี่ ดัลกลิช และแน่นอนว่า หมายเลข10 ที่จะตรึงใจแฟนๆไปตลอดกาล ย่อมต้องเป็นของ "จอห์น บาร์นส์" ในสนามนั้น จอห์น บาร์นส์ ช่วยเปลี่ยนรูปโฉมเอกลักษณ์ของลิเวอร์พูล ให้กลายเป็นทีมที่เล่นด้วยความตื่นตาตื่นใจ และความสามารถของเขา ก็จะยังยืนหยัดอยู่กับลิเวอร์พูลตลอดไป เหนือสิ่งอื่นใดนั้น เขาคนนี้นี่แหละ ที่ช่วยขจัดการเหยียดสีผิวออกไปจากแอนฟิลด์ได้ และก็ยังคงเป็นตำนานตราบจนทุกวันนี้ แต่น่าเสียดาย ที่เมื่อเขาย้ายออกไป เรายังไม่สามารถหาผู้เล่นทางกราบซ้ายในแผงมิดฟิลด์ ที่จะสามารถเทียบเคียงกับเขาได้เลย

จอห์น บาร์น ตอน2


ในสไตล์ที่แท้จริงของบาร์นส์นั้น เมื่อเขาลงสู่สนาม เขาจะไม่สนใจกับสิ่งใดๆรอบตัว แต่ก็เริ่มการบรรเลงเวทย์มนต์ใส่ลูกฟุตบอลที่เท้า ด้วยการเล่นฟุตบอลเหมือนสั่งได้ดั่งใจ เขาโชว์ทักษะในการผ่านคู่ต่อสู้แบบชาวแซมบ้าของแท้ ด้วยเทคนิคแบบชาวอเมริกาใต้ ซึ่งทำให้แฟนบอลถึงกับ 'กลั้นหายใจ' แต่มันก็ทำให้กองหลังฝั่งตรงข้าม ถึงกับอยาก 'กลั้นใจตาย' ด้วยเช่นกัน และเท้าซ้ายอันสุดยอดของเขา นั่นก็ทำให้ตอนนั้น ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่หลายๆทีมคงต้องผวาเมื่อต้องเจอ เมื่อเขาเป็นผู้ดึงลิเวอร์พูล ไปสู่สถิติในการที่ไร้พ่ายติดต่อกันถึง 29นัด ในลีก และแน่นอน ปีนั้น ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์สมัยที่17ไปอย่างสบายๆ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย เขา จะเดินออกไปรับรางวัลผู้เล่นแห่งปีในปี87/88 อย่างสมเกียรติ แต่มันก็ช่างน่าเสียดาย ที่ความพ่ายแพ้ต่อวิมเบิลดัน ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ในปีนั้น ดับฝันที่จะได้ดับเบิ้ลแชมป์ ของเขา และเพื่อนร่วมทีมไป อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ฤดูกาลแรกของเขากับลิเวอร์พูล จะเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดก็ตาม แต่จอห์นบาร์นส์ ก็ยังคงรักษาฟอร์มเก่งของเขาในระดับที่สูง ไว้ได้เรื่อยๆ และก็ยังคงเป็นไอดอลของเหล่าเดอะ ค็อป เสมอ ด้วยการนำพาโทรฟี่ให้หลั่งไหลเข้ามาสู่ตู้โชว์ที่แอนฟิลด์ได้เรื่อยๆ ความสำเร็จนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ในปี1989 เหนือเอฟเวอร์ตัน นั้น ถือเป็นสิ่งที่ลบล้างฝันร้ายที่เวมบลีย์เมื่อ12เดือนก่อนนั้นได้อย่างดี แต่ความสำเร็จครั้งนี้ กลับเปรอะเปื้อนไป จากเหตุการณ์อัปยศ ที่ฮิลส์โบโร่ ในรอบเซมิ-ไฟน่อล และมันก็ส่งผลอย่างมาก ต่อจอห์นบาร์นส์ ไม่ต่างไปกับเหล่าผู้เล่นที่อยู่กับทีมมายาวนานคนอื่นๆ แต่มันก็กลายเป็นว่า เขาก็ไม่ได้ถูกเหยียดผิวจากชาวเมืองอีกต่อไป และใช้ชีวิตในเมืองได้ปกติ ฤดูกาลแห่งความสำเร็จอีกฤดูกาลของบาร์นส์ ในการกระชากลมหายใจของแฟนๆ คือปี1989/90 ที่เขาช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ลีกอีกครั้ง โดยเขา คือผู้ทำสกอร์สูงสุด โดยการที่กระซวกไปทั้งหมด22ประตูในลีก และก็ได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นแห่งปีอีกครั้ง แต่สิ่งที่น่าผิดหวังก็คือ เขาไม่สามารถที่จะโชว์ฟอร์มอันสุดยอดอย่างที่เล่นให้กับสโมสรให้กับทีมชาติอังกฤษได้ แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องน่าเสียดายเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ผลจากความยอดเยี่ยมในการโชว์ฟอร์มกับสโมสรทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับต้นๆของยุโรปในทันที ถ้าไม่ใช่ของโลกล่ะก็นะ แต่ว่าในตอนนั้น ช่างน่าเสียดาย ที่การถูกแบนยาวในเกมยุโรปนั้น ทำให้จอห์นบาร์นส์ พลาดโอกาสที่จะโชว์ความสามารถตัวเองในเวทียุโรป ซึ่งมันก็ทำให้เขา ไม่มีโอกาสได้ไขว่คว้าเหรียญรางวัลในระดับทวีป เข้าสู่แอนฟิลด์ด้วยเช่นกัน การพลาดในการไขว่คว้าเกียรติยศในยุโรปนั้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นการขัดขวางถึงความส่องประกายในฐานะสุดยอดนักเตะอย่างที่เขาเป็น แต่ความสามารถในตัวเขาที่มีอยู่ ก็เพียงพอ ที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปสู่หนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลได้ อย่างที่บ็อบ เพสลี่ย์ ได้เคยกล่าวไว้ และเขา ก็สมควรแล้ว ที่จะได้รับการกล่าวขานถึงอย่างสมเกียรติ เหมือนๆกับที่เหล่าตำนานคนอื่นๆในแอนฟิลด์ได้ทำไว้ก่อนเขา ความเป็นตัวอย่างที่ดีของเขา ต้องถือเป็นต้นแบบให้เหล่าวัยรุ่นอีกหลายคนในยุคนั้น นับตั้งแต่ กัปตันทีมของลิเวอร์พูลในกลางยุค90s อย่าง เอียน รัช หรือสุดยอดผู้เล่นอย่าง สตีฟ แม็คมานามาน , เจมี่ เรดแนปป์ และรวมไปถึง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ที่ทุ่มเทในการซ้อม และลงเล่นเคียงข้างกับเขา

จอห์น บาร์น


จอห์น บาร์นส์ เกิด 7 พฤศจิกายน 1963 สถานที่เกิด : คิงสตัน , จาไมก้า อยู่กับลิเวอร์พูล 10ปี ในปี 1987 ถึง 1997 เล่นตำแหน่ง ปีกซ้ายย้ายมาจาก วัตฟอร์ด (มิถุนายน 1987) จำนวนนัดที่ลงเล่นกับลิเวอร์พูล 407 นัด ประตูที่ยิงได้ 110 ประตู เกียรติยศ แชมป์ดิวิชั่น1 (1987/88, 1989/90)
FA Cup (1989), League Cup (1995)
Charity Shield (1988, 1989, 1990)
Football Writers Player of the Year (1988, 1990)PFA Player of the Year (1988) บนจุดสูงสุดในชีวิตนักเตะของเขาในช่วงปลายๆยุค 80s ไม่มีอะไรอีกแล้ว ในโลกฟุตบอล ที่จะดูดีไปกว่า การเห็น จอห์น บาร์นส์ ลงมายืนที่กราบซ้าย โดยสวมเสื้อสีแดงเพลิงอยู่ เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่เล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดตลอดกาล บาร์นส์ ได้หว่านมนต์เสน่ห์ ให้เหล่าแฟนบอลของลิเวอร์พูลหลงไหลกันไปตามๆกัน ด้วยการที่เป็นส่วนสำคัญ ในการสร้างยุคที่เรียกได้ว่า มีสีสันที่สุด ในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล ความน่าเกรงขามของเขา นั้นก็มาจาก ความสุขุมของเขา , ความเร็ว , ความแข็งแกร่ง และความสามารถของเขา และเมื่อชาวจาไมก้าคนนี้ โชว์ฟอร์มได้สุดยอดเต็มที่เมื่อไหร่ นั่นล่ะ ถือเป็นโชคดีของเหล่าคนดูแล้ว ที่จะได้สัมผัสกับพรสวรรค์อันสุดยอดของเขา ที่คุณจะต้องจดจำมันไว้จนวันตายเลยทีเดียว เมื่อมีบาร์นส์อยู่ในทีมแล้ว ในวันที่มีเกมเหย้าที่แอนฟิลด์ เมื่อไหร่ที่เขาได้ครอบครองบอลนั้น สายตาทุกคู่จะจับจ้องลงมาที่เขาทันที ทุกอย่าง ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ซะหมด ยามที่เขากระชากลากเลื้อยบอลมุ่งสู่ปากประตูนั้น เขาทำราวกับว่า เขาจะลงเล่นนัดนี้เป็นนัดสุดท้าย ยังไงยังงั้น เขาคือผู้เล่นฝีเท้าสูงคนแรกในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล ที่มีผิวเป็นสีดำ แล้วความเคลือบแคลงใจอย่างยิ่ง ถึงขีดความสามารถของเขา ก็เกิดขึ้น ก่อนที่จะได้เห็นฝีเท้าของเขาเสียอีก เมื่อการย้ายทีมของเขา จากวัตฟอร์ด ด้วยค่าตัวราว 900,000ปอนด์ ในเดือนมิถุนายน ปี1987 นั้น ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของลิเวอร์พูล ท่ามกลางปัญหาการเหยียดสีผิวที่กำลังคุกคามในขนะนั้นจอห์น บาร์นส์ ก็ได้พบว่า ตัวเองก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายด้วยเช่นกัน ตั้งแต่วันแรกๆที่เขามาอยู่กับลิเวอร์พูล แต่เขาก็สามารถเอาชนะมันได้อย่างรวดเร็ว ด้วยฝีเท้าดังพ่อมด และความสามารถอันน่าทึ่งของเขา ลูกฟรีคิกอันสุดยอดของเขาที่ยิงใส่ออกซ์ฟอร์ดที่แอนฟิลด์ นั่นคือจุดเริ่มของเขา ในการสร้างความทรงจำอันน่ามหัศจรรย์ให้กับแฟนบอล นี่ไม่ใช่แค่เพียงอย่างเดียว กับความมหัศจรรย์ของจอห์นบาร์นส์ ยังมีอีกหลายอย่าง รวมไปถึงการลากเดี่ยวเข้าไปยิง คิวพีอาร์ ได้ ในไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ซึ่งมันก็ทำให้ชื่อเสียงของเขา กระฉ่อนมากเข้าไปอีก แล้วก็เป็นการยืนยันแล้ว ว่า ได้ค้นพบดาวดวงใหม่ของลิเวอร์พูลแล้ว เหล่าข้อความที่ส่อถึงการเหยียดสีผิว และดูถูกบาร์นส์ ตามกำแพงต่างๆทั่วเมืองในช่วง ที่เขาเพิ่งเข้ามานั้น ก็เริ่มลางหายไป และมันก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว ที่จะฉุดรั้งเขา จากการที่จะเป็นที่ยอมรับของแฟนๆ และหัวใจของทีมในการสร้างสรรเกม นี่ยังไม่รวมถึง ลูกโยนบานาน่าสุดมหัศจรรย์ ที่เขาได้ทำในเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่กู้ดดิสัน ปาร์ค ในฤดูกาลนั้นด้วย

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

สตีฟ แม็คมานามาน


สตีฟ แม็คมานามาน อดีตปีกจอมพลิ้วของหงส์แดงลิเวอร์พูล ผู้มีลีลาการเล่นอันน่าตื่นตาตื่นใจ และการจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูในระดับแถวหน้าของวงการฟุตบอลยุโรปในเวลานั้น
แม็คมานามานก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1990 เมื่อตอนอายุ 17 ปีเท่านั้น ในยุคของเคนนี ดัลกลิชที่ต้องการใช้นักเตะเยาวชนของอคาเดมีเพื่อให้ขึ้นมาทดแทนนักเตะรุ่นพี่ แม็คมานามานเป็นแฟนทีมเอฟเวอร์ตันตั้งแต่เด็ก และเคยไปทดสอบฝีเท้ากับเอฟเวอร์ตันแต่ปรากฎว่าไม่ผ่านการทดสอบเนื่องจากถูกมองว่าร่างกายผอมเกินไป ชีวิตของแม็คมานามานในแอนฟิลด์ดูเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบเมื่อเค้าคว้าได้ทั้งแชมป์เอฟเอ คัพปี 1992 ในยุคของแกรม ซูแนสส์ และแชมป์ลีก คัพปี 1995 ในยุคของรอย อีแวนส์
แม็คมานามานเริ่มได้ลงเล่นแบบเต็มฤดูกาลจริงๆก็เมื่อฤดูดาล 1991/92 ซึ่งเป็นปีที่เค้าเริ่มฉายแสงเป็นนักเตะตัวทำเกมให้ลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง และก็เป็นหนึ่งในนักเตะลิเวอร์พูลชุดที่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้สำเร็จในปี 1992 ที่สนามเวมบลีย์ แม็คมานามานเป็นนักเตะดาวรุ่งที่พุ่งขึ้นมาในยุคเดียวกับไรอัน กิ๊กส์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ในปี 1995 แม็คมานามานเป็นคนยิง 2 ประตูในชัยชนะเหนือโบลตัน วันเดอเรอร์ส 2-1 ในรอบชิงลีก คัพ ซึ่งเกมนั้นเค้าได้รับเลือกให้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ด้วย
ในปี 1997 แม็คมานามานตกเป็นข่าวในเรื่องการย้ายทีมเพราะมีทั้งบาร์เซโลน่า (สเปน) และยูเวนตุส (อิตาลี) ที่พร้อมจะซื้อตัวเค้าไปร่วมทีมในราคา 12.5 ล้านปอนด์ แต่ลิเวอร์พูลปฏิเสธข้อเสนอของทั้งสองทีมไป ก่อนที่แม็คมานามานจะย้ายไปแบบไม่มีค่าตัวไปร่วมทีมรีล มาดริดด้วยกฏบอสแมนในปี 1999
ในปี 96 ในเอฟ เอ คัฟ รอบชิงซึ่งลิเวอร์พูลโคจรมาพบ แมน ยู เซอร์อเล็ก ได้พูดว่า ถ้าเป็นไปได้เขาอยากซื้นักเตะแบบแม็คก้ามาร่วมทีม แต่ลิเวอร์พูลคงไม่อยากขายนักเตะแบบนั้นให้เราหรอก ก่อนที่ลุงแพนด้า จะส่งรอย คีน ลงมาประกบแม็คก้า ส่งผลให้ลิเวอร์พูล ไปไม่ถึงดวงดาว
แม็คก้า โดดเด่นจนเป็ที่จับตามองไปทั่วยุโรป โดยในศึกยูโร 96 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ เขาโชว์ฟอร์มการเล่นอันร้อนแรง จนมีส่วนทำให้อังกฤษทะลุถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนพ่ายกับเยอรมันด้วยการดวลจุดโทษแต่เขาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเตะในทีมยอดเยี่ยม ประจำทัวร์นาเม้นท์ และได้รับคำชื่นชมจาก เปเล่ ราชาลูกหนังโลก เป็นอย่างมาก โดยในช่วงเวลานั้น แม็คก้าได้รับการยกย่อง ให้เป็นหนึ่งในกองกลางตัวรุกที่ดีที่สุดในยุโรปเวลานั้นทีเดียว
ฟอร์มอันโดดเด่นของเขาตอนนั้น ทำให้มี วลี ที่ ติดปากผู้คนในวงการฟุตบอลยุโรปเวลานั้นว่า ''หยุดแม็คก้าได้ ก็คือหยุดลิเวอพูล และหยุดอังกฤษ''
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม ในเดือนพฤศจิกายน 1998 กับการก้าวเข้ามาของเชรา อุลลิเยร์ที่มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูลมันทำเค้าต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าเค้ายังเป็นกองกลางที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูลอยู่ จนในภายหลังผู้จัดการทีมคนใหม่ให้ความสำคัญในตัวเขาน้อยลงไปมาก จนทำให้เขาออกหาความท้าทายใหม่ๆในยุโรป ด้วยการย้ายไปเล่นกับ ราชันชุดขาว รีล มาดริดในเวลาต่อมา โดยแม็คมานามานทิ้งสถิติไว้ที่ ลงเล่นให้ลิเวอร์พูลทั้งหมด 364 เกม ทำได้ 66 ประตู ก่อนจากถิ่นแอนฟิลด์ ไปสู่ ถิ่นราชัน ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว
แม็คมานามานถือว่าเป็นนักฟุตบอลอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็ว่าได้ในการย้ายออกไปเล่นนอกเกาะอังกฤษ เพราะกับการลงเล่นให้รีล มาดริดเค้าคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 7 รายการ
นอกจากนี้เขายังยิงประตู ใน ยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกนัดชิงชนะเลิศได้ด้วย ในนัดชิงกับ บาเลนเซีย ภายหลังย้าย มา แมน ซิตี้ ก่อนแขวนเกือก เพราะอาการบาดเจ็บ เรื้อรัง
ปัจจุบัน แม็คก้าทำงานในหน้าที่คอมเมนเตเตอร์
ชื่อเต็ม - สตีเว่น ชาร์ลส์ แม็คมานามาน
วันเกิด - 11 ก.พ. 1972
สถานที่เกิด - ลิเวอร์พูล อังกฤษ
ส่วนสูง - 6 ฟุต (183 ซ.ม.)
น้ำหนัก - 10 สโตน 8 ปอนด์
ตำแหน่ง - มิดฟิลด์
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล - 364 เกม
ประตู - 66
ติดทีมชาติอังกฤษ (กับลิเวอร์พูล) - 24
เกียริติยศ - แชมป์เอฟเอคัพ 1992,แชมป์ลีกคัพ 1995
สถิติของ แม็คมานามาน กับลิเวอร์พูล
ปี1990-91 เล่น2นัด 0ประตู
ปี1991-92 เล่น30นัด 5ประตู
ปี1992-93 เล่น31นัด 4ประตู
ปี1993-94 เล่น30นัด 2ประตู
ปี1994-95 เล่น40นัด 7ประตู
ปี1995-96 เล่น38นัด 6ประตู
ปี1996-97 เล่น37นัด 7ประตู
ปี1997-98 เล่น36นัด 11ประตู
ปี1998-99 เล่น28นัด 4ประตู

สตีเว่น เจอร์ราด


สตีเว่น เจอร์ราร์ด มีชื่อเต็มว่า สตีเว่น จอร์จ เจอร์ราร์ด เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองวิสตัน เมอร์ซี่ย์ไซด์ ลิเวอร์พูล เข้าสู่เส้นทางลูกหนังจากการลงเล่นให้กับโรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน คาธอลิก ไฮจ์สคูล ในเวสต์ดาร์บี้ เมืองลิเวอร์พูล โดยในตอนที่อายุ 9 ขวบ เขาเป็นสมาชิกของทีม ลิเวอร์พูล วายทีเอส และก็เล่นได้ดี จนเกือบจะก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชน
เจอร์ราร์ด มีนิคเนมว่า "สตีวี่จี" เป็นกองกลางพลังไดนาโม โดยเริ่มแจ้งเกิดมาในตำแหน่งปีกขวา นอกจากนั้นยังสามารถเล่นเป็นแบ๊กขวาได้อีกด้วย และยังขยับมาเล่นเป็นกองกลางตัวรับ ได้อีกด้วย แต่ด้วยการที่เป็นนักเตะที่มีความสามารถทั้งการช่วยเกมรับ และการเติมเกมรุก แถมยังยิงไกลได้แม่นยำ ทำให้ เจอร์ราร์ด ค่อยๆเปลี่ยนบทบาทของตัวเองมาเป็นกองกลางเชิงรุกไปแล้ว
เจ้าของหมายเลข 8 ของทีมลิเวอร์พูล เป็นแฟนบอลของลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ในวัยเด็ก จนในที่สุดเขาก็ได้เป็นกัปตันทีมโปรดของเขาสมใจนึก มาตั้งแต่ฤดูกาล 2003/2004 และเป็นนักเตะที่คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมได้เสมอ ทั้งการทำงานหนักในสนาม และการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเพื่อนร่วมทีม โดยในฤดูกาล 2003/2004 เจอร์ราร์ด ที่ต้องคอยไล่ตัดเกมรุกของคู่ต่อสู้ด้วยนั้น โดนใบเหลืองไปแค่ 2 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้เล่นที่เล่นบอลอย่างขาวสะอาดมากคนหนึ่ง
สตีวี่จี เป็นที่นักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ หลังจากที่มาเข้าร่วมชายคาของสโมสรแห่งนี้ ตั้งแต่ปี 1989 และค่อยๆพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเรื่อยๆในโรงเรียนนักเตะของ "หงส์แดง" ที่สร้างนักเตะอย่าง สตีฟ แม็คมานามาน และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ มาโด่งดังไปแล้ว ก่อนจะปั้น ไมเคิ่ล โอเว่น และ เจอร์ราร์ด ขึ้นมาโด่งดังเป็นรุ่นต่อมา
เจอร์ราร์ด ลงประเดิมสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนามไปแทน เวการ์ด เฮกเก้ม ในนัดที่ "หงส์แดง" พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ก่อนจะมาได้ลงสนามเป็นตัวจริงเป็นนัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พบกับ เซลต้า บีโก้ ในศึกยูฟ่า คัพ และแม้ว่า "หงส์แดง" จะแพ้ในนัดนั้น แต่ เจอร์ราร์ด ก็ได้รับการยกย่องอย่างมากว่าเล่นได้ดี มีอนาคตในทีมอย่างแน่นอน
ในฤดูกาล 2000/2001 เจอร์ราร์ด เล่นดีมากๆจนได้รับตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ และพาทีม "หงส์แดง" คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ทั้ง ยูฟ่า คัพ, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ โดยสามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของยูฟ่า คัพ ซึ่ง ลิเวอร์พูล กับ อลาเบส ได้อีกด้วย
ประตูแรกของ เจอร์ราร์ด ในทีมชาติอังกฤษ คือการยิงได้ในนัดที่ "สิงโตคำราม" บุกไปถล่มเอาชนะ เยอรมัน 5-1 ในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โซนยุโรป โดยแมตช์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2001 และได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมชาติอังกฤษ ก่อนที่ทีม "สิงโตคำราม" จะคว้าแชมป์กลุ่ม และผ่านไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ ในที่สุด
เจอร์ราร์ด ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะกำลังสำคัญอันดับ 1 ของ ลิเวอร์พูล หลังจากที่ ไมเคิ่ล โอเว่น ย้ายออกจากทีมไป
เจอร์ราร์ด ทุ่มเทเต็มที่ในการลงสนามให้กับลิเวอร์พูล จนกระทั่งพาทีม "หงส์แดง" ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แบบพลิกความคาดหมาย ภายใต้การคุมทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน ที่เข้ามาปฎิรูปทีม "หงส์แดง" จนกลายเป็นทีมที่มีอนาคตมากขึ้น
ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2004/2005 ลิเวอร์พูล ต้องพบกับ เอซี มิลาน ยอดทีมจาก อิตาลี ในการฟาดแข้งที่สนามอตาเติร์ก สเตเดี้ยม กรุงอิสตันบุล ประเทศตุรกี และก็ดูเหมือนว่า "หงส์แดง" จะต้องผิดหวังตั้งแต่การแข่งขันครึ่งแรก จบลง เมื่อเป็นฝ่ายตามหลังไปถึง 0-3 แต่ เจอร์ราร์ด ในฐานะกัปตันทีมก็ยังไม่ยอมแพ้ กระตุ้นให้ลูกทีมฮึดสู้ตามไปด้วย และเขาก็โหม่งประตูตีไข่แตกช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไล่มาเป็น 1-3 พร้อมทั้งความหวัง
หลังจากนั้น วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ก็ยิงประตูช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไล่ขึ้นมาเป็น 2-3 ท่ามกลางความหวังที่เพิ่มขึ้นอีกของพลพรรค "เดอะ ค็อป" ที่ช่วยกันร้องเพลง You will never walk alone กระหึ่มสนามอตาเติร์ก เร่งความฮึกเหิมให้กับนักเตะ "หงส์แดง" เข้าไปอีก ก่อนที่ ซาบี อลอนโซ่ จะมาทำประตูตีเสมอให้กับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ ชนิดที่แฟนบอล มิลาน ถึงกับตะลึง
การแข่งขันนัดดังกล่าว ต้องไปตัดสินกันที่การดวลจุดโทษ หลังจากที่ต่อเวลาพิเศษไปแล้ว ก็ยังเสมอกันอยู่ 3-3 และ เจอร์ซี่ ดูเด็ค นายทวารชาวโปแลนด์ ก็ช่วยเซฟจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรป มาครองได้แบบสุดมหัศจรรย์ โดยที่มีกัปตันทีมที่ชื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก้าวขึ้นไปรับถ้วยรางวัลชูขึ้นเหนือหัวประกาศให้โลกรู้ถึงความยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูล และตัวเขาเอง และหลังจากจบการแข่งขันนัดดังกล่าว เจอร์ราร์ด ก็ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมจะย้ายออกจากทีมไปได้อย่างไร หลังจากที่มีค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้"
นอกจากจะพาทีมลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะทรงคุณค่าของการแข่งขัน และมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลงดอร์ แต่ก็โดน โรนัลดินโญ่ ดาวเตะบราซิเลียนของบาร์เซโลน่า เบียดคว้าตำแหน่งไปครอง นอกจากนั้น เจอร์ราร์ด ยังอยู่ในอันดับ 3 ของรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปีของบีบีซี อีกด้วย
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว แฟนบอลของลิเวอร์พูล ก็ได้เฮกันลั่น เมื่อ เจอร์ราร์ด เปลี่ยนใจในวันต่อมา และจัดการเซ็นสัญญากับ ลิเวอร์พูล ไปอีก 4 ปี ในวันที่ 8 กรกฏาคม 2005 พร้อมกับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ เพื่อนร่วมทีมที่ก้าวมาจากโรงเรียนลูกหนังของลิเวอร์พูล ด้วยกัน
ในฤดูกาล 2005/2006 เจอร์ราร์ด ก็เป็นกำลังสำคัญของทีมลิเวอร์พูล อีกเช่นเคย ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยังไม่ตกลงไปเลย และพาทีมพลิกสถานการณ์คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ ด้วยลูกยิงไกลสุดสวยของเขา ที่ช่วยให้ "หงส์แดง" ตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ 3-3 ก่อนจะไปเอาชนะได้ด้วยการดวลจุดโทษ โดยลูกยิงกลสุดสวยของเขา ยิงจากระยะประมาณ 35 หลา มีความเร็ว 28 ไมล์ ต่อชั่วโมง และเป็นลูกยิงที่ดีที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเอฟเอ คัพ
นอกจากจะพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักเตะอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ ทำให้เขาเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกที่ได้รางวัลนี้ ต่อจาก จอห์น บาร์นส์ อดีตปีกจอมเลื้อยของ "หงส์แดง" ที่เคยได้รางวัลนี้ ในปี 1988
จากการทำประตูได้ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ครั้งล่สุด ทำให้ เจอร์ราร์ด สามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการใหญ่ๆในระดับสโมสร ได้ครบทุกรายการแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็ทำประตูได้ ในยูฟ่า คัพ นัดชิงชนะเลิศกับ อลาเบส ในปี 2001 ต่อด้วย ลีก คัพ ปี 2003 ตามด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005 ก่อนจะมายิงได้ในเอฟเอ คัพ ปี 2006
นอกจากจะเป็นกำลังสำคัญของ ลิเวอร์พูล แล้ว เจอร์ราร์ด ยังเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ อีกด้วย และมีส่วนสำคัญในการพา "สิงโตคำราม" ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2006 ที่ เยอรมัน ท่ามกลางความหวังของแฟนบอลเมืองผู้ดีว่า สตีวี่จี จะพาทีมชาติอังกฤษ คว้าแชมป์โลกมาครองได้ อย่างที่เขาพา ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

ไมเคิ่ล โอเว่น


ไมเคิ่ล โอเว่น ศุนย์หน้าตีนจรวด

ไมเคิ่ล โอเว่น มีชื่อเต็มว่า ไมเคิ่ล เจมส์ โอเว่น เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 1979 ที่เมืองเชสเตอร์ เชสเชียร์ เป็นบุตรชายของ เทอร์รี่ โอเว่น อดีตนักฟุตบอลของเอฟเวอร์ตัน และในวัยเด็กโอเว่น ก็เป็นแฟนบอลของเอฟเวอร์ตัน โดยมี แกรี่ ลินิเกอร์ เป็นนักเตะในดวงใจ แต่สุดท้ายเขากลับมาสร้างชื่อในวงการลูกหนังด้วยการเป็นนักเตะขวัญใจของแฟนบอลลิเวอร์พูล ทีมคู่ปรับร่วมตัวฉกาจของเอฟเวอร์ตัน ไปในที่สุด
โอเว่น เริ่มเส้นทางสายลูกหนังตามความประสงค์ของผู้เป็นพ่อ ที่นำตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนรายนี้ ไปฝากฝังไว้กับผู้จัดการทีมระดับเยาวชนที่ชื่อ “โมล์ด อเล็กซานดร้า” ในตอนที่เจ้าหนูโอเว่น มีวัย 10 ขวบ
แม้ว่าจะมีรูปร่างเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน แต่ โอเว่น ก็มีพรสวรรค์ที่เด็กคนอื่นๆไม่มีกัน จนทำให้เขาเป็นนักเตะดาวเด่นของทีม โดยนอกจากจะเล่นให้กับ “โมล์ด อเล็กซานด้า” แล้ว โอเว่น ยังเป็นตัวโรงเรียน ลงเล่นให้กับทีมโรงเรียนประถมของเขา ในฮาวาร์เด้น ประเทศเวลส์ และยิงประตูได้แบบระเบิดเถิดเทิง
หลังจากนั้น โอเว่น ย้ายมาเรียนระดับมัธยมที่ ฮาวาร์เด้น ไฮสคูล และก็ยังลงเล่นให้กับทีมโรงเรียนเช่นเดิม ขณะที่บรรดาสโมสรดังๆของพรีเมียร์ลีก ที่ได้ยินกิตติศัพท์ความร้ายกาจในเชิงลูกหนังของเขา ก็พยายามมาชักชวน โอเว่น ไปร่วมทีมเยาวชนของตนเอง แต่ทางโรงเรียนของเขา ไม่อนุญาตให้นักเรียนที่อายุยังน้อยมากไป เซ็นสัญญากับทีมใด
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล หนึ่งในทีมดังที่ต้องการตัว โอเว่น ก็ยื่นมือเข้ามาชี้แนะให้ โอเว่น ไปฝึกฝนวิชาด้านฟุตบอลเพิ่มเติมที่โรงเรียนสอนฟุตบอลของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ที่ลีลล์แชลล์ เมืองสแตฟฟอร์ดเชียร์ ในตอนที่เขาอายุ 14 ปี ขณะที่ก็ยังเรียนวิชาสามัญทั่วไปที่ ฮาวาร์เด้น ไฮสคูล
หลังจากที่ประคบประหงม กล่อมเกลา โอเว่น มาจนถึงในวัย 16 ปี ที่สามารถเซ็นสัญญาเข้าทีมเยาวชนของสโมสรได้แล้ว และจบการฝึกจากโรงเรียนลูกหนังของเอฟเอ แล้ว ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็คว้าตัว โอเว่น ไปร่วมทีมได้สำเร็จ ตัดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ อาร์เซน่อล
ภายหลังจากที่ โอเว่น มาร่วมทีมเยาวชนของลิเวอร์พูล เขาก็ช่วยพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ในปี 1996 มาครองได้ และอีก 4 เดือนต่อมาเขาก็เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีม “หงส์แดง” หลังจากที่อายุครบรอบ 17 ปี ไปได้ไม่นาน
โอเว่น ลงสนามให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรก ในนัดที่พบกับ วิมเบิลดัน ในเดือนพฤษภาคมปี 1997 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาจากม้านั่งสำรอง และก็ลงมาทำประตูได้ตั้งแต่นัดนั้น
จากการที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ดาวยิงอันดับหนึ่งของลิเวอร์พูล ในตอนนั้น ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ โอเว่น ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงให้กับลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 1997/1998 และเขาก็ยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนทำให้บรรดา “เดอะ ค็อป” ลืม ฟาวเลอร์ ไปเลย โดยในฤดูกาลนั้น โอเว่น ทำได้ 18 ประตู เป็นดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีก ร่วมกับ คริส ซัตตัน และ ดิออน ดับลิน และได้รับตำแหน่งนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของอังกฤษ
ในปี 2001 โอเว่น ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เมื่อช่วยพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ คือ ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพ โดยใน เอฟเอ คัพ โอเว่น ช่วยยิง 2 ประตูทำให้ “หงส์แดง” พลิกแซงกลับมาเอาชนะ อาร์เซน่อล ไปได้ และในตอนสิ้นปีเขายังได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลงดอร์ มาครอง โดยเป็นนักเตะในสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 20 ปี ที่คว้ารางวัลนี้มาครองได้
หลังจากอยู่รับใช้ ลิเวอร์พูล มานาน โอเว่น ก็อยากไปแสวงหาความท้าทายใหม่ๆให้กับอาชีพค้าแข้ง เนื่องจากที่ ลิเวอร์พูล เขายังไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยเหตุนี้ ลิเวอร์พูล จึงขายเขาไปให้กับ รีล มาดริด ทีมมหาอำนาจของสเปน ในวันที่ 13 สิงหาคม ปี 2004 ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ และ รีล มาดริด ต้องแถม อันโตนิโอ นูนเยซ มาให้ ลิเวอร์

เกียรติประวัติที่เคยได้รับ
ระดับสโมสร
ลิเวอร์พูล แชมป์ 1995–96 เอฟเอ ยูธ คัพ2000–01 ลีก คัพ 2000–01 เอฟเอ คัพ 2000–01 ยูฟ่า คัพ 2001–02 ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 2001–02 แชริตี้ ชีลด์ 2002–03 ลีก คัพรองแชมป์2001–02 พรีเมียร์ลีก 2002–03 แชริตี้ ชีลด์
ระดับส่วนตัว1998 นักเตะดาวรุ่ง พีเอฟเอ 1998 ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก, 18 ลูก 1998 รางวัลชีวิตส่วนตัวดีเด่น จากบีบีซี สปอร์ต 1998 นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 1999 ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก, 18 ลูก 2001 ผู้เล่นยอดเยี่ยมระดับโลกแห่งปี 2001 บัลลงดอร์

ร๊อบบี้ ฟาวเลอร์




ร๊อบบี้ ฟาวเลอร์ ศูนย์หน้าตีนฉมัง
โรเบิร์ต เบอร์นาร์ด “ร็อบบี” ฟาวเลอร์ เกิดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1975 หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “ก็อด”
ฟาวเลอร์ก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลครั้งแรกเมื่อปี 1993 โดยยิงได้ 120 ประตูในระยะเวลา 8 ปี ก่อนที่เค้าจะย้ายไปเล่นให้กับลีดส์ ยูไนเต็ดและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนที่จะย้ายกลับมาเล่นให้ลิเวอร์พูลอีกครั้งในเดือนมกราคม 2006 โดยถึงขณะนี้ฟาวเลอร์ติดอันดับ 4 ของดาวยิงสูงสุดของพรีเมียร์ ลีกเป็นรองเพียง เธียร์รี อองรี, แอนดี โคล และ อลัน เชียร์เรอร์สำหรับในระดับทีมชาติฟาวเลอร์ติดทีมชาติทั้งหมด 26 ครั้ง ยิงได้ 7 ประตู
ลิเวอร์พูลฟาวเลอร์ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม 1993 ในฐานะตัวสำรองในรายการเอฟเอ คัพที่พบกับโบลตัน โดยในปีนั้นฟาวเลอร์ช่วยให้ทีมชาติอังกฤษชุด U-18 คว้าแชมป์ U-18 ยูฟ่า แชมเปียนชิพได้อีกด้วย, เค้าทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลได้ในเกมที่พบกับฟูแล่มในรายการโคคา-โคลา คัพ รอบแรกซึ่งลิเวอร์พูลชนะไป 3-1 เมื่อวันที่ 22 กันยายน 1993ฟาวเลอร์ทำแฮตทริกแรกในการลงเล่นให้ลิเวอร์พูลได้ในเกมที่พบกับเซาแธมป์ตัน ซึ่งต่อมาเค้าถูกเรียกตัวให้ไปติดทีมชาติอังกฤษชุด U-21 ในเกมที่พบกับซาน มาริโน ในเดือนพฤศจิกายน 1993 โดยเค้าสามารถทำประตูได้ในเวลาเพียง 3 นาทีในฤดูกาล 1994/95 ฟาวเลอร์ได้ลงเล่นถึง 57 เกมและมีส่วนที่ทำให้ลิเวอร์พลูคว้าแชมป์ลีก คัพมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยในฤดูกาลนี้ฟาวเลอร์สามารถสร้างสถิติให้กับตัวเองด้วยการเป็นนักเตะที่ทำแฮตทริกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ ลีกเมื่อเค้าใช้เวลาเพียง 4 นาที 33 วินาที ในการยิง 3 ประตู ในเกมที่พบกับอาร์เซน่อล และในปีนั้นฟาวเลอร์ก็ได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA (ฟาวเลอร์ได้รางวัลนี้ 2 ครั้งในปี 1995 และ 1996)ในปี 1997 ลิเวอร์พูลซื้อสแตน คอลลีมอร์จากน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ด้วยค่าตัว 8.5 ลป.เพื่อให้มาเป็นคู่ขาในแดนหน้าคนใหม่ของฟาวเลอร์ และทั้งคู่ก็สร้างผลงานได้ดี และแน่นอนในฤดูกาลนี้มีเกมสุดมันส์ที่จะอยู่ในความทรงจำของฟาวเลอร์แน่นอน เกมที่ชนะนิวคาสเซิล 4-3 เป็นอีกหนึ่งเกมที่ลิเวอร์พูลเล่นกันได้ดี โดยฟาวเลอร์และคอลลีมอร์ทำได้คนละ 2 ประตูในสมัยค้าแข้งให้ลิเวอร์พูล ฟาวเลอร์อยู่ในกลุ่มที่ถูกขนานนามว่า “สไปซ์ บอย” โดยมีที่มามาจากวงดนตรี “สไปซ์ เกิร์ล” โดยในกลุ่มประกอบด้วยนักเตะ 5 คน คือ ร็อบบี ฟาวเลอร์, เดวิด เจมส์, เจมี เรดแนปป์, สตีฟ แม็คมานามานและสแตน คอลลีมอร์ฟาวเลอร์เริ่มฟอร์มตกเพราะอาการบาดเจ็บเรื้อรังในปี 1998 และการก้าวขึ้นมาของไมเคิ่ล โอเว่นในช่วงปี 1997 ก็ทำให้โอกาสของฟาวเลอร์ในถิ่นแอนฟิลด์ก็เริ่มค่อยๆไม่ชัดเจนในฤดูกาล 2000/01 ฟาวเลอร์ทำประตูได้ 17 ประตูจากการลงเล่น 48 เกม โดยในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิล แชมป์บอลถ้วยคือ ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และจากการบาดเจ็บหนักของ เจมี เรดแนปป์ กัปตันทีมตัวจริง ทำให้ฟาวเลอร์ได้รับบทบาทในการเป็นกัปตันทีมของลิเวอร์พูล แต่การเข้ามาคุมทีมของเชรา อุลลิเยร์ทำให้โอกาสของฟาวเลอร์ในการลงสนามน้อยเกินไป เนื่องจากผู้จัดการชาวฝรั่งเศสเลือกที่จะใช้กองหน้าอย่างไมเคิ่ล โอเว่นและเอมิล เฮสกีย์มากกว่า ทำให้ปลอกแขนกัปตันทีมตกไปอยู่ที่ซามี ฮูเปียซะเป็นส่วนใหญ่ฟาวเลอร์เป็นกัปตันทีมในเกมที่พบกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ในปี 2001 ในรอบชิงชนะเลิศลีก คัพ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ลิเวอร์พูลได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยอีกครั้งหลังจากลิเวอร์พูลเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1996 ในรายการเอฟเอ คัพโดยในเกมนี้ฟาวเลอร์สามารถยิงประตูสุดสวยให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 1-0 (ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะชนะจุดโทษ) และได้รับรางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ไปครองอีก 1 รางวัลในปี 2001 ในรอบชิงเอฟเอ คัพ ฟาวเลอร์ไม่ได้ถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริงในการพบกับอาร์เซน่อล แต่เค้าถูกเปลี่ยนไปเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 77 โดยลงไปแทนวลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ในขณะที่ทีมตามอยู่ 0-1 ก่อนที่จะจบเกมด้วยการพลิกกลับมาชนะ 2-1 จาก 2 ประตูของไมเคิ่ล โอเว่น ในช่วงท้ายเกม โดยในเกมนั้นคนที่ขึ้นไปรับถ้วยเอฟเอ คัพคือ ซามี ฮูเปีย (กัปตันทีม) และ เจมี เรดแนปป์ (กัปตันทีมตัวจริง)4 วันหลังจากทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ ลิเวอร์พูลก็มีโปรแกรมลงเล่นในศึกยูฟ่า คัพรอบชิงชนะเลิศกับเดปอร์ติโว อลาเวส (สเปน) โดยฟาวเลอร์ถูกส่งลงสนามในนาทีที่ 66 โดยลงไปแทนเอมิล เฮสกีย์ในขณะที่ทั้งสองทีมเสมอกัน 3-3 และฟาวเลอร์ก็สามารถทำประตูได้หลังจากถูกเปลี่ยนลงสนามในเวลา 5 นาที แต่จบเกมทั้งสองทีมเสมอกัน 4-4 ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะมาได้ประตูชัยในนาทีที่ 116 (โกลเดน โกล์) ทำให้ลิเวอร์พูลชนะเดปอร์ติโว อลาเวสไป 5-4 และเป็นร็อบบี ฟาวเลอร์กับซามี ฮูเปียที่ขึ้นไปรับถ้วยยูฟ่า คัพบนสแตนด์ในฤดูกาลสุดท้ายที่ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ฟาวเลอร์สามารถทำแฮตทริกแรกในรอบ 3 ปีได้ในเกมที่ชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 4-1 เมื่อเดือนตุลาคม 2001
หลังจากนั้น ร๊อบบี้ฟลาวเลอร์ก็ต้องกลายเป็นนักเตะพนเจรด้วยการย้ายไปอยู่กับลีดส์ยูไนเต็ด และก็แมนเชสเตอร์ชิตี้ ก่อนที่จะย้ายกลับมาสู่ทีมที่เขารักอีกครั้งนั่นก็คือทีมลิเวอร์พูลนั่นเอง
หลังจากไม่ได้อยู่ในแผนการทำมทีมของสจ๊วต เพียร์ซทำให้ไม่ค่อยได้ลงเล่นมากนัก ก็เป็นราฟาเอล เบนิเตซ (ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล) ที่คว้าตัวฟาวเลอร์กลับสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง โดยย้ายกลับมาลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2006 แต่การย้ายกลับมาครั้งนี้เค้าไม่ได้สวมเสื้อเบอร์เก่งอย่างเบอร์ 9 เนื่องจากเบอร์นี้ถูกสวมใส่โดย ฌิบริล ซิสเซ่ ทำให้เค้าได้ใส่เบอร์ 11 และหลังจากบรรดาแฟนบอลทราบข่าวก็ทำแบนเนอร์หลากหลายแบบเพื่อต้อนรับขวัญใจของพวกเค้าที่กลับมาอีกครั้งอย่าง FOWLER, GOD, 11, WELCOME BACK TO HEAVEN ก่อนที่ในฤดูกาล 2006/07 ฟาวเลอร์จะกลับมาใส่เบอร์ 9 อีกครั้งหลังจากฌิบริล ซิสเซ่ย้ายไปร่วมทีมโอลิมปิก มาร์กเซยในสัญญายืมตัวฟาวเลอร์ลงเล่นนัดแรกในเกมที่พบกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2006 และเค้ากลับมายิงประตูให้ลิเวอร์พูลอีกครั้งในเกมที่เปิดแอนฟิลด์พบกับฟูแล่ม เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2006 และยิงประตูได้อีกครั้งในเกมพบกับ เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน ซึ่งทำให้เค้าทำสถิติเป็นดาวยิงสูงสุดแซงเคนนี ดัลกลิช (แต่ก็ยังเป็นรอง เอียน รัช อยู่) โดยในฤดูกาลแรกที่กลับมาเล่นให้ลิเวอร์พูลอีกครั้ง เค้าลงเล่นไปทั้งหมด 16 เกม ยิงได้ 5 ประตูในเดือนมีนาคม ฟาวเลอร์เริ่มกลับมาฟิตเพิ่มขึ้นอีกครั้งจนราฟาเอล เบนิเตซออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ผมจะไม่มีทางขายร็อบบีออกจากทีม และหากเค้าฟิตและลงเล่นได้ดีแบบนี้ค่าตัวของเค้าต้องอยู่ที่ 10 ลป.เป็นอย่างน้อย” 25 ตุลาคม 2006 ฟาวเลอร์ได้กลับมาสวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลอีกครั้งในเกมที่พบกับเรดดิงในศึกลีก คัพ ซึ่งลิเวอร์พูลชนะไป 4-35 ธันวาคม 2006 ฟาวเลอร์สามารถทำประตูได้ในเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกในเกมที่ออกไปเยือนกาลาตาซาราย เค้าได้ลงเล่นเต็ม 90 นาทีและยิงได้ 2 ประตู โดยเกมจบลงที่กาลาตาซารายชนะไป 3-2 (เป็นการยิงประตูให้ลิเวอร์พูลครั้งแรกในรอบ 6 ปี หลังจากประตูสุดท้ายเกิดในเกมที่พบ เอฟซี ฮากา)24 กุมภาพันธ์ 2006 ฟาวเลอร์ทำได้ 2 ประตู (จุดโทษทั้งหมด) ในเกมที่พบกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด โดยเกมนั้นลิเวอร์พูลชนะไป 4-0 โดยอีก 2 ประตูเป็นผลงานของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ซามี ฮูเปีย1 พฤษภาคม 2006 ในรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศนัดที่สอง ฟาวเลอร์ถูกเปลี่ยนตัวลงในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยเกมนั้นราฟาเอล เบนิเตซส่งเค้าลงไปเพื่อยิงจุดโทษแต่สุดท้ายเค้าก็ไม่ได้ยิงเนื่องจากทีมชนะเชลซี 4-1 (คาดว่า ฟาวเลอร์ น่าจะถูกวางตัวให้เป็นคนยิงคนที่ 5)ฟาวเลอร์จะหมดสัญญากับลิเวอร์พูลหลังจบฤดูกาล 2006/07 โดยราฟาเอล เบนิเตซจะไม่ได้ยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้
เกียรติประวัติและถ้วยรางวัลที่ได้รับกับสโมสรลิเวอร์พูล1994/95 ลีก คัพ2000/01 ลีก คัพ (แมน ออฟ เดอะ แมตช์)2000/01 เอฟเอ คัพ2000/01 ยูฟ่า คัพ2001/02 ยูโรเปียน ซุปเปอร์ คัพรองแชมป์1995/96 เอฟเอ คัพทีมชาติอังกฤษ1993 แชมป์ U-18 ยูฟ่า แชมเปียนชิพเกียรติประวัติส่วนตัว1995 นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA1996 นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFAนักเตะที่ทำแฮตทริกเร็วที่สุดในพรีเมียร์ ลีก (4 นที 33 วินาที ในเกมที่พบ อาร์เซน่อล, 28 สิงหาคม 1994)เพื่อนสนิทที่สุดคือ สตีฟ แม็คมานามาน